1.) แนะนำตัวให้รู้จักกันหน่อยค่ะ
Prim: สวัสดีค่ะ ปริมนะคะ เป็นนักศึกษาปี2 จาก I-Shou university คณะ International Media Entertainment and Management หรือ เด็กที่นี่จะเรียกสั้นๆว่า IMEM ค่ะ
2.) ทำไมถึงเลือกเรียนคณะ/สาขานี้?
Prim: คือส่วนตัวแล้วปริมชอบพวก Graphic Design, Video Editing, Photography และ Media อยู่ค่ะ แต่อยากจะเรียนด้าน Marketing, Business แล้วก็ Management ไปด้วย เพราะเราเอาความรู้ด้านนี้ไปต่อยอดได้หลายทาง ส่วนตัวเลยรู้สึกว่าคณะนี้เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุด และระหว่างที่กำลังเลือกว่าจะเรียนที่ไหนดี ปริมก็เข้าไปดูคลาสของคณะว่าเราต้องเรียนอะไรบ้างด้วย แล้วยิ่งพอเห็นคลาสที่มีให้แล้วก็ทำให้สนใจคณะนี้ยิ่งกว่าเดิมอีกค่ะ และที่สำคัญเลยคือการเรียนการสอนของที่นี่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ภาษาจีนแบบปริมมากเลยค่ะ
3.) การเรียนการสอนที่ I-SHOU University เป็นอย่างไรบ้าง?
Prim: ถ้าพูดถึงการเรียนการสอนของที่นี่ ก็แต่ต่างจากไทยมากเลยค่ะ นักเรียนที่นี่เขากล้าที่จะตอบคำถาม และถ้ามีคำถามเขาก็ไม่ลังเลที่จะยกมือถามเลยค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวนะคะเพราะทุกคนเป็นมิตรมากค่ะถ้าเรามีปัญหาอะไรเพื่อนๆก็คอยช่วยตลอด แถม Professor ก็เป็นกันเองมาก ถ้ามีปัญหาก็ไปปรึกษาได้ตลอด หรือถ้าไม่มีปัญหาก็ไปแวะหาได้ค่ะ จะได้ลูกอมฟรีติดมือมาด้วย และที่นี่เขาจะเน้นปฏิบัติมากกว่าทฤษฎีค่ะ เราจะได้ทั้งทำ assignment ออกfield trip แล้วก็ present หน้าชั้นเรียนค่ะ เพราะฉะนั้น เราจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงมากกว่าแค่นั่งเรียนในห้องแน่นอน
4.) Assignment เป็นยังไงบ้างคะ พรีเซนต์เยอะมั้ย?
Prim: ก็แล้วแต่วิชาเลยค่ะ ถ้าเป็นพวกวิชาที่ต้องคำนวณ หรือ ทฤษฎีเยอะๆก็อาจจะไม่ค่อยมีนำเสนอค่ะ แต่ถ้าเป็นพวกที่ต้องปฏิบัติเยอะก็มี assignment ทุกอาทิตย์เลยค่ะ แล้วก็มีนำเสนอแทบทุกอาทิตย์เลยเหมือนกัน และถ้าเป็นคลาสของคณะ บอกเลยว่าได้ assignment ทุกคลาส และได้นำเสนอทุกคลาสแน่นอนค่ะ แต่การที่เราได้ assignment กับ presentation เยอะก็มีข้อดีนะคะ เพราะเราจะได้ฝึกทักษะของเรา ซึ่งเป็นทักษะที่เราจะได้ใช้ในอนาคตแน่นอนค่ะ และนอกจากนั้นบางคลาส professorยังให้เรา present แทนการสอบ mid-term กับ final ด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเราเตรียมตัวดี ก็เป็นการสอบที่ชิวมากเลยค่ะ
5.) บรรยากาศในห้องเรียนเป็นยังไงบ้าง คนเรียนเยอะมั้ย เพื่อนๆมีชาติอะไรบ้าง?
Prim: สำหรับจำนวนคนในคลาสก็แล้วแต่คลาสเลยค่ะ ถ้าเป็นตัวที่ต้องเรียนรวมกับคณะอื่นๆ ก็อาจจะมีคนเรียนเยอะเกือบถึง 100คนเลยค่ะ ถ้าเป็นคลาสปกติก็มากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 60คน และถ้าเป็นคลาสของคณะก็ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนในคณะเราเละค่ะ อย่างเช่นรุ่นของปริมมีกันอยู่20กว่าคน ในคลาสก็จะมีกันอยู่ 20กว่าคนค่ะ และบรรยากาศในห้องเรียนก็บอกเลยว่าMulticultural สุดๆ เพราะว่าภาคที่ปริมเรียนอยู่เป็นภาคอินเตอร์ เพื่อนในก็เลยจะไม่ได้มีแค่คนไต้หวันอย่างเดียวแน่นอนค่ะ ยังมีเพื่อนจากต่างประเทศอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนจาก US, Saint Vincent and the grenadines, Indonesia, Vietnam, Japan, Philippines, Guatemala, Nigeria, Kyrgyzstan และประเทศอื่นๆอีกค่ะ
6.) อาจารย์ที่สอนเป็นยังไงบ้างคะ?
Prim: ถ้าให้พูดถึงprofessor อธิบายแบบสั้นๆก็คือ ในห้องเรียนเป็นprofessor นอกห้องเรียนเป็นเพื่อนกันค่ะ เพราะprofessorที่นี่เป็นกันเองมากๆ ถ้าเรามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอด หรือ ถ้าเราไม่โอเคกับการออกข้อสอบหรือassignmentก็สามารถคุยกับprofessorได้เลยค่ะ เพราะเขาพร้อมที่จะรับฟังเราเสมอ เราไม่ต้องกลัวว่าเขาจะว่าเราเลยค่ะ เพราะprofessorใจดีมากๆ จนบางทีก็สั่งpizzaมาเลี้ยงในคลาสเลยค่ะ บอกแลยว่าได้ความรู้ไม่พอ ได้กินฟรีด้วย แบบนี้เรียกว่าคุ้มสุดๆ
7.) กิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการเรียนในห้องมีอะไรบ้างคะ?
Prim: บอกเลยค่ะว่า I-Shou เป็นมหาลัยที่กิจกรรมเยอะมากๆ สมกับคำนิยาม Study hard play harder เลยค่ะ เพราะทางมหาลัยจัดกิจกรรมให้เด็กต่างชาติแบบเราได้มาแลกเป็นวัฒนธรรมกัน ได้ว่าจะเป็น Cultural Festival ที่จะให้แต่ละประเทศมาจัดบูธขายอาหาร และแสดงโชว์จากประเทศตัวเอง หรือจะเป็น Cultural Ambassador การแข่งขันที่เฟ้นหาตัวแทนผู้ชนะจากตัวแทนของแต่ละประเทศมาเป็น Ambassador ของมหาลัยค่ะ อธิบายง่ายๆก็เหมือนประกวดMiss Universe แต่แบบที่ลงประกวดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเลยค่ะ นอกจากทางมหาลัยยังจัดงานตามเทศกาลให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็น Halloween party, Christmas part, แล้วก็ New Year partyค่ะ
8.) อยากให้เล่าประสบการณ์การทำงาน Service Education ของมหาวิทยาลัยหน่อยค่ะ สนุกไหม? ได้ประสบการณ์อะไรบ้าง?
Prim: ทุกคนอาจจะสงสัยว่าservice education คืออะไร ถ้าให้พูดแบบเข้าใจง่ายๆก็คือชั่วโมงจิตอาสาค่ะ ซึ่งชั่วโมงที่เราได้มาจะเรียกว่า service hoursโดยที่นักเรียนปี1 แบ่งเป็น2เทอม service education I สำหรับเทอมแรก และ service education II สำหรับเทอมสอง และหนึ่งเทอมต่อ 16ชั่วโมง โดยที่เราสามารถเลือกได้หลายแบบ เช่น ทำกับdepartment ไปเลย 16 ชั่วโมง, ทำกับออฟฟิศของมหาลัย 16 ชั่วโมง, หรือ เราจะช่วยงานของมหาลัยเพื่อแลกชั่วโมงด้วยค่ะ อย่างเช่น ปริมได้มีโอกาสได้เข้าไปทำงานเป็นทั้ง content creator แล้วก็นักแสดง ในmarketing team ของมหาลัยค่ะเวลาที่เราไปประชุม ถ่ายงาน หรือ เขียนคอนเท้น เราก็จะได้ชั่วโมงมาค่ะ และนอกจากนั้น ปริมก็ได้ลงประกวดCultural Ambassador ด้วยเวลาที่เราไปซ้อม หรือทำกิจกรรมในฐานะผู้ประกวดเราก็จะได้ชั่วโมงมาด้วยค่ะ และอย่างสุดท้ายคือ ต้องแล้วแต่professor ของเราเลย
เพราะปริมมีหนึ่งคลาสที่professor ได้มอบหมายงานให้เราทำคลิปวิดีโปรโมท community South East Asia ในเมืองเกาสง และได้ที่หนึ่งมา professor เลยให้ผ่านservice education ไปเลยโดยที่ไม่ต้องเก็บชั่วโมงค่ะ ถ้าจะถามว่าเราได้อะไรจากservice educationบ้าง ก็บอกได้เลยว่าได้ประสบการณ์ และ skill ใหม่ๆเยอะมากเลยค่ะ อธิบายมาขนาดนี้แล้ว ทุกคนคงมีคำถามว่าแล้วservice hours สำคัญยังไง ต้องก่อนว่าปริมได้ทุนของมหาลัย โดยที่ในปีแรก เราจะได้ทุนเป็นรายปี และเมื่อขึ้นไปปีต่อๆไปเราต้องขอทุนเป็นรายเทอมค่ะ ซึ่งตัวservice hours นี่แหละค่ะ ที่เป็นตัวช่วยให้เราได้ทุน โดยปกติแล้วขั้นต่ำที่นักเรียนทุนที่นี่เขาทำกันก็อยู่ที่ประมาณ100 ชั่วโมงขึ้นไปค่ะ
9.) รีวิวมหาวิทยาลัย I-SHOU
-
สาขา International Media มีให้เลือกหลายมหาวิทยาลัย ทำไมถึงเลือกที่ I-Shou คะ?
Prim: ที่จริงก่อนปริมจะเลือกที่นี่ ก็ดูไว้หลายที่เหมือนกันค่ะ แต่ที่ตัวสินใจเลือกที่นี่เพราะ หลักสูตรของที่นี่ค่อนข้างจะแตกต่างจากที่อื่น เพราะ หลักสูตรของที่นี่ไม่ได้มีแค่นิเทศ แต่ยังมีบริหารพ่วงมาด้วย เลยทำให้หลักสูตรของที่นี่น่าสนใจค่ะ อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเลือกที่นี่ เพราะว่า มอสวยมากเลยค่ะ ระหว่างทางที่เข้ามามหาลัย รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ไต้หวันเลยค่ะ เหมือนอยู่ยุโรปมากกว่าอีก แล้วเมืองเกาสงเป็นเมืองทางภาคใต้ค่ะ อากาศดีมาก ฝนไม่ตกบ่อยเหมือนกับไทเปค่ะ
-
Facility หรือจุดไหนของมหาวิทยาลัยที่เราชอบที่สุดคะ?
Prim: ความครบครันของ I-Shou ก็ไม่แพ้ที่อื่นเลยค่ะ สำหรับคณะ International Media Entertainment and Management ถ้าใครมีคลาสถ่ายรูปแล้วไม่มีกล้อง ก็ไม่ต้องกลัวเลยค่ะ เพราะว่าทางคณะมีห้องประชุม ห้องstudio ห้องpodcast อุปกรณ์ต่างเช่น กล้อง ไมค์ และอื่นๆ ให้นักเรียนได้ยืมใช้ และเรื่องการเดินทาง มหาลัยก็มีรถบัสของมอหลายสายไปทุกที่ในเมืองเกาสง เพราะ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวเรื่องเดินทางลำบากเลยค่ะ -
รีวิวหอในนักศึกษาปริญญาตรีหน่อยค่ะ ทั้งหอใน และ หอนอก
Prim: ส่วนเรื่องที่พัก ปริมก็จะมาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างหอใน และ หอนอกให้ทุกคนกันค่ะ มาเริ่มจากหอในกันก่อน สำหรับน้องๆFreshman แนะนำเลยว่าให้พักหอในก่อนค่ะ เพราะหอในนั้นทั้งไปเรียนสะดวก ราคาถูก แถมเรายังจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่เยอะเลยค่ะ โดยที่หอในจะแบ่งออกเป็น2แบบ คือ หอ1 ซึ่งหอ1 หนึ่งห้องจะมี 3คน เราไม่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ แต่เราต้องซื้อบัตรเติมแอร์เพื่อเอามาเปิดแอร์ค่ะ และมีเวลาจำกัดในการใช้แอร์ค่ะ ส่วนหอในแบบที่สอง คือ หอ2ค่ะ จะเป็นห้องแบบอยู่กัน2คน เราต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟเอง แต่ไม่จำกัดเวลาการใช้แอร์ค่ะ โดยทั้งสองหอจะมีห้องซักรีดและตู้กดน้ำให้ในแต่ละชั้นค่ะ ต่อมาเป็นหอนอก สำหรับคนที่อยากจะย้ายมาอยู่หอนอก อยากแนะนำให้ย้ายออกในปีที่สองค่ะ เพราะเราเริ่มรู้ที่รู้ทางแล้ว ซึ่งแอปที่คนที่นี่นิยมใช้หาบ้านกันก็คือ แอป591ค่ะ แล้วหอนอกต่างจากหอในยังไง สำหรับคนที่เริ่มทำpart-time หอนอกเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะเช่าห้องที่ใกล้กับที่ทำงานเรามั้ย ซึ่งมันสะดวกกว่ามากเลยค่ะ และเรายังได้ความเป็นส่วนตัวของเราด้วย และแน่นอนว่ากฎต่างๆก็จะน้อยกว่าหอในแน่นอน -
ได้เข้าร่วมชมรมอะไรบ้างมั้ย?
Prim: ตอนนี้กำลังทำงานเป็น creative producer ของ International Media Entertainment and Management Student Associate อยู่ค่ะ ซึ่งเป็นเหมือนสภานักเรียนของคณะ โดยที่เราต้องโดนเลือกจากเพื่อนในคณะทั้งหมดเพื่อเข้ามาทำในส่วนนี้ค่ะ และคณะของปริมเป็นนิเทศ เราเลยมีหน้าที่จักงานอีเว้นต่างๆ เช่น Halloween party, Christmas party, Graduation party ค่ะ แต่นอกจาก สมาคมนักเรียนแล้วทางมหาลัยยังมีชมรมชื่อ IPASS ให้นักเรียนต่างชาติเข้าร่วมด้วยค่ะ โดยชมรมนี้จะแบ่งออกเป็น3ฝ่าย ฝ่ายบริหาร ฝ่ายร้องเพลง และฝ่ายเต้นค่ะ โดยที่เราต้องไปAudition เพื่อที่จะได้เข้าชมรมค่ะ ปริมเคยไปลองสมัครฝ่ายเต้นดู แล้วผลออกมาว่า ผ่านด้วยค่ะ แต่เพราะว่าปริมยุ่งกับงานอื่นๆมาก ไม่มีเวลาแบ่งมาซ้อม เลยปฎิเสธไปค่ะ
-
App ของมหาวิทยาลัยใช้ทำอะไรได้บ้าง?
Prim: ทางมหาลัยมี 2 app หลักๆที่ใช้ค่ะ คืออันแรกเป็น information system ซึ่งเป็นแอปที่เราใช้บ่อยมากค่ะไม่ว่าจะเป็น ดูตารางเรียน ลงเรียน ดรอปคลาส จ่ายค่าหอ จ่ายค่าเทอม เช็คชื่อออนไลน์ ดูผลการเรียน เราใช้แอปนี้ทั้งหมดเลยค่ะ และ แอปที่สอง คือ Moodle ISU โดยที่professorจะลง slide กับ เนื้อหาที่เราต้องเรียนไว้ในแอปนี้หมดเลยค่ะ นอกจากนั้นเรายังต้องส่งassignment และ ทำข้องสอบผ่านแอปนี้ด้วยค่ะ -
International Student club ที่ I-Shou เป็นยังไงบ้าง?
Prim: สำหรับใครที่ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ และเพื่อนใหม่ การเข้าชมรมคือคำตอบค่ะ เพราะเราจะได้ทำอะไรที่เราไม่เคยทำ หรือว่าถ้าเคยทำมาแล้วเราจะจะพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากเลยค่ะ และส่วนที่ยากที่สุดของการทำงานในชมรมคือการที่เราต้องประสานงานกับเพื่อนคนอื่นค่ะ เพราะบางที่เราอาจจะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน สิ่งที่เราต้องทำคือใจเย็น และ รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นค่ะ และตอนที่งานที่เราทำออกมาสำเร็จเราจะภูมิใจมาก และหายเหนื่อยเลยค่ะ
10.) รีวิวไต้หวันหน่อย
การมาเรียนต่อที่ไต้หวันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
Prim: ถ้าพูดถึงการมาเรียนต่อต่างประเทศ อย่างแรกที่ต้องพูดถึงเลยคือ การที่เราต้องทำอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเองค่ะ มันช่วยให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น อย่างที่สองคือ การที่เรามีความคิดที่เปิดกว้างมากขึ้นค่ะ เพราะเราได้เจอคนหลายแบบ หลายประเทศ และแต่ละประเทศเขาก็มีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน มันเลยทำให้ปริมกลายเป็นคนopen mind เปิดรับสิ่งใหม่ๆมากขึ้นค่ะ และถ้ามาไต้หวันก็จะไม่พูดถึงวัฒนธรรมของคนที่นี่ไม่ได้เลย เราได้เรียนรู้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ซึ่งค่อนข้างที่จะแตกต่างจากคนไทยมากเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ที่พักอาศัย ชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งวิธีการเลี้ยงน้องหมาน้องแมวค่ะ ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้ปริมกลายเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นskillที่สำคัญมากเมื่อเรามาอยู่ต่างประเทศค่ะ
11.) รีวิวเมืองเกาสง เมืองท่าและศูนย์กลางธุรกิจภาคใต้ของไต้หวัน
Prim: First impression ของปริม ที่มาถึงเมืองเกาสงอย่างแรกเลยคืออากาศดีมากเลยค่ะ แถวคนที่นี่ก็เป็นมิตรมากเลยค่ะ จำได้ว่าระหว่างที่นั่งtaxiที่มอ คุณลุงคนขับก็ชวนคุยไม่หยุดเลยค่ะ อย่างที่สองเลยคือ เมืองสวยมาก แถมยังมีสวนสาธารณะเยอะๆมากด้วย เรียกว่าเป็นที่โปรดของปริมที่ไปในวันว่างๆเลยค่ะ แล้วที่เที่ยวก็เยอะด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ หรือ ชายหาด นอกจากนั้นอาหารที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้กัน ยิ่งถ้าเรารู้จักร้านlocal ราคาจะถูกมากเลยค่ะ บางร้านมีแค่หนึ่งร้อยก็กินอิ่มได้ค่ะ ขนมของที่นี่ก็อร่อยค่ะ มีขนมไต้หวันที่ไม่รู้จักเยอะแยะเลยค่ะ แล้วถ้าพูดถึงไต้หวันก็ต้องพูดถึงnight market ซึ่งที่เกาสงมีเยอะมากเลยค่ะ ปริมมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งปีแล้วยังไปไม่ครบเลยค่ะ แต่รับรองว่าstreet food ที่นี่อร่อยมาก แถมยังมีให้เลือกเยอะเลยค่ะ และอย่างสุดท้ายที่ปริมชอบมากเลยคือ ห้าง และ ร้านอาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็น pet friendly หมดเลยค่ะ สำหรับคนรักสัตว์แบบปริมบอกเลยว่าshoppingไป ดูน้องหมาน้องแมวไปด้วยแล้วมีความสุขมากเลยค่ะ
12.) การใช้ชีวิตในเมืองเกาสงนี้สะดวกสบายดีมั้ยคะ? ต่างกับไทเปมากไหม
Prim: ถ้าจะให้บอกความแตกต่างระหว่างเกาสงและไทเป ก็จะมีหลักๆ3อย่างค่ะ หนึ่งคือ สภาพอากาศค่ะ อากาศที่เกาสงแถบจะไม่มีฝนตกเลย ถ้าแถบกับไทเปที่ฝนตกแทบทุกวัน ซึ่งปริมชอบแบบที่หนึ่งมากกว่าค่ะ เพราะเวลาเราออกไปเที่ยว เราก็อยากไปในวันที่อากาศดีกันใช่มั้ยคะ มาพูดถึงความแตกต่างที่สองค่ะ คือ คนที่นี่เขาไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกันค่ะ ถ้าเทียบกับที่ไทเปแล้ว คนไทเปจะพูดได้เยอะกว่ามากเลยค่ะ เพราะฉะนั้นใครที่อยากมาเรียนที่เกาสงอย่าลืมฝึกภาษาจีนพื้นฐานมากันนะคะ และอย่างสุดท้ายเลย คือค่าครองชีพค่ะ ค่าครองชีพที่เกาสงจะถูกกว่าไทเปค่ะ ทั้งราคาอาหาร เครื่องดื่ม ที่พัก และนี่คือข้อแตกต่างหลักๆค่ะ แต่ถ้าอย่างอื่นเกาสงก็สะดวกสบายไม่ต่างจากไทเปเลย ทั้งเรื่องการเดินทาง เราก็สามารถใช้ MRT ,light rail, bus , ubike ไปได้ทุกที่ในเมืองเลยค่ะ
13.) รีวิวแหล่งการใช้ชีวิต ร้านค้าซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันหรือแหล่ง Shopping ในเมืองให้ฟังหน่อยค่ะ
Prim: สำหรับคนที่อยากรู้ว่าถ้ามาอยู่เกาสงแล้ว ต้องซื้อของgroceries ที่ไหน ที่เกาสงมีสองที่ที่ปริมไปซื้อตลอด คือ PX Mart, Carrefour แล้วก็ Dollarsแล้วยังมีCostcoด้วยนะคะ แต่ว่าเราจะต้องมีMemberก่อนนะคะถึงจะซื้อของที่นี่ได้ แต่ปกติปริมก็ไปกับเพื่อนที่มีmemberแล้วใช้บัตรเพื่อนแทนค่ะ และถ้าอยากซื้อของใช้ส่วนตัวก็มี Poya, Cosmate แล้วก็ร้านไต้หวันสีเหลือง ที่คนที่นี่เรียกว่า เสี่ยวเป่ย กันค่ะซึ่งของเยอะ และราคาถูกมากเลยค่ะ ส่วนห้างสำหรับคนติดแกรมแบบเราก็มีเยอะไม่แพ้กัน แต่ที่ปริมไปบ่อยที่สุดก็คือ Hanshin ค่ะ เพราะร้านครบครัน แล้วก็อยู่ใกล้บ้านด้วยค่ะ
14.) ได้ไปเที่ยวเมืองอื่นบ้างไหม ไหนรีวิวหน่อย?
Prim: นอกจากเกาสงแล้ว ก็ยังมีอีก4เมืองที่ปริมได้โอกาสไปเที่ยวช่วงวันหยุดค่ะ เมืองแรกเลยจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากไทเป จำได้ว่าช่วงที่ไปครั้งแรกหลังจากมาเรียนที่นี่เป็นช่วงหน้าหนาวค่ะ ใกล้Christmasพอดี ในไทเปเลยตกตกไปด้วยไฟแล้วก็Christmas Treeเต็มไปหมดเลยค่ะ แล้วอากาศก็หนาวมากเหมือนกันค่ะ ส่วนที่ที่สองคือ จีหลงค่ะ เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่มีตึกแถวอยู่ค่ะ ซึ่งจุดเด่นของที่นี่คือตึกแถวของที่นี่ถูกทาสีเป็นสีรุ้งค่ะ บอกเลยว่าน่ารักมาก แถมน้ำทะเลที่นั่นยังใสจนเห็นปลาว่ายไปมาได้เลยค่ะ ที่ที่3คือ Kenting ค่ะ ที่นี่จะมีทั้ง aquarium แล้วก็ทะเลที่สวยไม่แพ้กับประเทศไทยเลยค่ะ ระหว่างทางที่ขับไปชายหาดก็เป็นถนนติดทะเลที่วิวสวยจนเหมือนหลุดมาอยู่ในภาพวาดเลยค่ะ และที่สุดท้ายคือเมืองที่อยู่ติดกับเกาสง ที่เราสามารถนั่งรถไฟไปได้ ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเองค่ะ นั่นก็คือ ไถนาน นั่นเอง จุดเด่นของเมืองนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ พิพิธภัณฑ์ค่ะ พิพิธภัณฑ์ที่นี่เป็นสไตล์ยุโรป เลยให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ที่ยุโรปเลยค่ะ และมีคนบอกมาว่า อาหารที่ไถนานอร่อยที่สุดในไต้หวัน ปริมบอกเลยว่าจริงค่ะ ถ้าใครได้ไปต้องลองชิมอาหารของที่นี่นะคะ อร่อยแสงออกปากแน่นอนค่ะ
15.) แล้วในบรรดาเมืองที่เคยไปมา ชอบเมืองไหนของไต้หวันมากที่สุด
Prim: ถ้าให้ปริมเลือกหนึ่งเมือง ก็คงเป็นเกาสงนี่แหละค่ะ แม้ว่าเกาสงอาจจะมีบางจุดที่ไม่ได้ดีเท่าบางเมืองที่เคยไปมา แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้ปริมตกหลุมรักเมืองนี้ค่ะ ทั้งอาหาร สถานที่ ผู้คน lifestyle นอกจากนั้นเรายังมีความทรงจำดีๆมากมาย กับเพื่อนๆที่นี่ ที่ทำให้มีความสุขในแต่ละวันที่อยู่ที่เมืองนี้ เพราะฉะนั้นจะให้เลือกกี่ครั้ง ปริมก็ยังจะเลือกเกาสงเหมือนเดิมค่ะ
การเตรียมตัวเรียนต่อ กับ พี่มิว Dot Education
1.) ใช้เวลาเตรียมตัวเรียนต่อนานมั้ยคะ
Prim: ปริมใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดประมาณหนึ่งมีค่ะ ในหนึ่งปีนี้คือ นับรวมการเตรียมตัวสอบTOEIC การเตรียมเอกสาร และ เรียนภาษาจีนพื้นฐานแล้วนะคะ แล้วถ้าถามว่าส่วนไหนที่ใช้เวลานานที่สุดก็น่าจะเป็นช่วงสอบTOEICค่ะ เพราะปริมต้องใจจะขอทุน เลยอยากได้คะแนนTOEICให้ได้มากกว่า 750เลยจะใช้เวลาเตรียมตัวนานกว่าส่วนอื่นค่ะ
2.) ทำไมถึงเลือกให้เราดูแล
Prim: ก่อนที่ปริมจะเลือกเอเจนซี่ ก็ได้ไปอ่านรีวิวของแต่ละที่มาค่ะ แล้วมีแต่คนรีวิวว่าพี่ๆDot Education ดูแลดีมาก ถึงเราจะอยู่ไต้หวันพี่ๆก็ยังคอยดูแล และช่วยเราตอนที่เรามีปัญหา ปริมเลยตัดสินใจเลือกพี่ๆDot Educationค่ะ และบอกเลยว่าไม่เสียใจเลยค่ะที่ตัดสินใจเลือกพี่ๆ เพราะว่าพี่ๆเขาดูแลดีเหมือนกับที่อ่านรีวิวมาเลยค่ะ อาจจะดีกว่าที่รีวิวมาด้วนซ้ำค่ะ
3.) พี่ๆช่วยดูแลอะไรบ้างคะ
Prim: ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่วันแรกที่ติดต่อพี่ๆไปเลยค่ะ ตอนนั้นปริมยังไม่มีคะแนนTOEIC แล้วไม่รู้ด้วยว่าตัวเองต้องใช้คะแนนเท่าไหร่ พี่ๆก็แนะนำติวเตอร์มาให้ค่ะ หลังจากนั้นพอเรามีคะแนนภาษาแล้ว ก็ถึงขั้นตอนเขียน letter ให้ทางมหาลัยค่ะ พี่ๆจะช่วยเราตั้งแต่ต้น คอยให้คำแนะนำว่าเราต้องเขียนอะไรบ้างต้องมีเนื้อหาหลักๆประมาณไหน หลังจากที่เราเขียนเสร็จแล้วพี่ๆก็จะมีทีมงานช่วยตรวจletterของเราอีกที่ก่อนส่งค่ะ ส่วนเรื่องเอกสารต่างๆพี่ๆก็จะให้listมาว่าเราต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เรามีหน้าที่แค่ส่งเอกสารให้พี่ๆค่ะ นอกจากนั้นเรื่องสมัครมหาลัย แปลเอกสาร สมัครวีซ่า ตืดต่อมหาลัย พี่ๆจะจัดการให้เราหมดเลยค่ะ เราแทบจะไม่ต้องทำอะไรแค่รอวันบินอย่างเดียวเลยค่ะ
4.) มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังวางแผนจะมาเรียนต่อไต้หวันไหมคะ?
Prim: ถ้าน้องๆยังไม่รู้ว่าจะเลือกมอไหนดี ก็ลองเข้าไปดูหลักสูตรของแต่ละที่ดูก่อนค่ะว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากเรียนมั้ย และ ลองไปดูCampus ดูนะคะตึกเป็นยังไง ห้องเรียนน่าเรียนมั้ย facilitiesมีอะไรบ้าง แล้วก็การเลือกเมือง สำหรับปริมแล้ว ปริมคิดว่าไม่ว่าจะสภาพอากาศ อาหาร หรือ lifestyle มันมีผลกับชีวิตประจำวันของเราทั้งหมดเลยค่ะ เพราะฉะนั้นต้องเลือกเมืองที่ตรงกับความชอบของเรานะคะ เราจะได้มีความสุขในแต่ละวันซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการเรียนของเราค่ะ สำหรับปริมแล้วถ้าเรามีวันที่ดีเราก็จะhappyกับการเรียนไปด้วยค่ะ และ เราต้องหัดปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆให้มากขึ้นนะคะ เพราะการมาอยู่ที่นี่ต้องได้ปรับตัวอะไรหลายอย่างเลยค่ะ ไม่ว่าอาหารการกิน ภาษา หรือ lifestyle และการที่เราสามารถสื่อสารภาษาจีนขั้นพื้นฐานได้เป็นเรื่องสำคัญค่ะ เพราะเราจะได้ใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวันแน่นอนค่ะ ส่วนเรื่องเอกสารที่ต้องใช้ก่อนที่จะมาไต้หวันอาจจะยุ่งยากบ้าง ถ้าอยากแน่ใจว่าเอกสารไม่ตกหล่นและถูกต้องแน่นอน ก็สามารถติดต่อพี่ๆDot Educationไปได้นะคะ สุดท้ายคือ ถ้าเราอยากทำอะไรแล้วก็ทำไปให้สุดค่ะไม่ต้องกลัว we only live once เรามาออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ และเก็บประสบการณ์ชีวิตกันค่ะ